แนวข้อสอบวิเคราะห์นโยบายและแผน
1. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของนโยบาย
ก. แนวทางในการบรรลุผล
ข. ขั้นตอนหรือแผนงาน
ค.ทุนที่ใช้ในการดำเนินการ
ง. เป็นองค์ประกอบของนโยบายทุกข้อ
ตอบ ง. ทุนที่ใช้ในการดำเนินการ
องค์ประกอบของนโยบายสาธารณะมีดังนี้
1. ต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ต้องประกอบด้วยลำดับขั้นตอนหรือแผนงานในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ที่ได้กำหนดเอาไว้
3. ต้องมีลักษณะเป็นแนวทางหรือหลักการที่ประสงค์จะเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ สามารถบรรลุผลสำเร็จลงได้
4. ต้องมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ฯลฯ
2. ข้อใดถูกต้อง
ก. Scientific Reasons : การนำไปใช้ในการแก้ปัญหาทางปฏิบัติ
ข. Professional Reasons : การเข้าใจเหตุผลของการตัดสินใจ
ค. Political Reasons : การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมให้บรรลุเป้าหมาย
ง. Policy Effects : ปัจจัยน้ำข้าวของนโยบาย เช่น ทรัพยากร
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ค. Political Reasons: การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมให้บรรลุเป้าหมาย
Thomas R.Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทำ หรือไม่กระทำ” โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลของการศึกษานโยบายไว้ ๓ ประการได้แก่
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทำความเข้าใจเหตุและผลของการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนำความรู้เชิงนโยบายไปใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านการปฏิบัติ
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง
3. ความสมเหตุสมผลทางด้านปัทสถานเกี่ยวข้องกับการวางแผนในเรื่องใด
ก. การวางแผนที่เน้นเนื้อหา
ข. การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ค. การวางแผนที่เน้นการควบคุม
ง. การวางแผนที่เน้นการมีส่วนร่วม
จ. การวางแผนที่เน้นผลลัพธ์
ตอบ ข. การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ทฤษฎีการวางแผนที่เน้นเนื้อหาสาระหรือทฤษฎีเชิงสาระ เป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระเฉพาะเรื่องที่จะนำมาวางแผนเป็นอย่างมากโดยมุ่งอธิบายรายละเอียดของปัญหาและการแก้ปัญหาที่เจาะลึกในแต่ละเรื่องโดยไม่สนใจเรื่องวิธีการเช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนทฤษฎีการวางแผนที่เน้นการตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. การตัดสินใจแบบสมเหตุสมผลด้านการทำหน้าที่ ได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีเชิงกรรมวิธีซึ่งมุ่งอธิบายกระบวนการและการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน และต่อมาได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีการวางแผนที่เน้นกานนำนโยบายไปปฏิบัติ
2. การตัดสินใจแบบสมเหตุสมผลด้านปัทสถานได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีการวางแผนทางสังคมและการวางแผนสนับสนุน
4. ข้อใดถูกต้อง
ก. นโยบายสาธารณะได้มากจากการเจรจาต่อรองเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสถาบันนิยม
ข. แนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่เน้นเนื้อหา
ค. ความสมเหตุสมผลทางด้านปัทสถานเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ง. ทฤษฎีเชิงกรรมวิธีต่อมาได้พัฒนาไปเป็นการวางแผนที่เน้นการนำนโยบายไปปฏิบัติ
จ. ข้อ ค. และ ข้อ ง. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ค. และ ข้อ ง. ถูก
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
5. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. แผนงานเป็นตัวแปรที่ Cook & Scioll เสนอไว้ในตัวแบบของเขา
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่ปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจ
ค. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวของกับการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
ง. การจัดการศึกษานอกโรงเรียนเกี่ยวของกับนโยบายทางด้านการศึกษา
จ. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการกินดีอยู่ดีของประชาชน
ตอบ ค. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวของกับการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Econmomic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยงข้องกับความอยู่ดี กินดีของประชาชน ให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไรที่ได้มาซึ่งรายได้ รายจ่าย ซึ่งเมื่อจ่ายไปแล้วมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
6. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาอยู่ในขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย
ข. การจัดทำร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย
ค. การกำหนดทางเลือกอยู่ในขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การตีความหรือแปลงนโยบายอยู่ในขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ จ. ถูกทุกข้อ
ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย การพิจารณาปัญหานโยบาย (Policy Problem) หรือความต้องการของประชาชนที่จะนำมากำหนดเป็นนโยบาย การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา ส่วนขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation)
ประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
2. การกำหนดเกณฑ์วัด และวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน
3. การกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการรายงาน
4. การนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
7. Pressman and Wildavsky ศึกษาเรื่องใด
ก. การปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
ค. การพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ง. Catalytic Role Model
จ. โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล
ตอบ ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
Pressman and Wildavsky ได้เสนอผลงานวิจัยเรื่อง “Implementation” โดยมุ่งศึกษานโยบายการจ้างงานของชนกลุ่มน้อย แห่งนครโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผลงานวิจัยฉบับนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบและเป็นจุดกำเนิดของวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติอีกด้วย
8. ใครพบว่า การแสวงหาผลประโยชน์เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ก. ธงชัย สมครุฑ
ข. ปิยวดี ภูศรี
ค. อาคม ใจแก้ว
ง. สากล จริยวิทยานนท์
จ. เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์
ตอบ จ. เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์
เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ได้ศึกษาเรื่อง “การปฏิบัตินโยบายสำหรับชายแดนภาคใต้: ศึกษืเท่านั้น แล้วผลการศึกษาในเรื่องนี้ ผู้วิจัยก็พบว่าการแสวงหาผลประโยชน์ เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของนโยบายไปปฏิบัติ
9. ความสามารถในการผลิตหรือให้บริการ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ข. ประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย โดยใช้ต้นทุนต่ำสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด
10. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับนิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ความสามารถในการตอบสนอง หมายถึง ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบและค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่ต้องการทำให้กลุ่มที่มีความจำเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกก่อนนั้นเอง
11. ความสามารถในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ จ. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ความพอเพียง หมายถึง ความสามารถในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไขทางทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่
12. การนำเกณฑ์อื่น ๆ มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ค. ความเหมาะสม
ความเหมาะสม หมายถึงการพิจารณาคุณค่าและความเหมาะสมของเป้าหมายของทางเลือกที่กำหนดไว้ โดยการนำเกณฑ์อื่น ๆ หลายเกณฑ์มาพิจารณาพร้อมๆ กัน
13. ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ก. ประสิทธิผล
ประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการได้ครบถ้วนตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
14. Thomas R.Dye มีความสำคัญต่อวิชานโยบายสาธารณะอย่างไร
ก. ให้ความหมายของนโยบายสาธารณะ
ข. ให้เหตุผลในการกำหนดนโยบาย
ค. ศึกษาเรื่องการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก. ให้ความหมายของนโยบายสาธารณะ
15. Harold Lasswell มีความสำคัญต่อวิชานโยบายสาธารณะอย่างไร
ก. ศึกษาเรื่องการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ข. ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
ค. ให้เหตุผลในการกำหนดนโยบาย
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ ข. ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
Harold Lasswell เป็นผู้เสนอแนวคิดเรื่องนโยบายศาสตร์ (Policy Sciences ) และได้รับการยกย่องว่า เป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เนื่องจากเป็นผู้ที่ผสมผสานแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และสังคมศาสตร์เข้าด้วยกัน
16. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทำ เช่น การบริการสาธารณะ
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ก. Ira Sharkansky
Ira Sharkansky กล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทำ เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคล หรือธุรกิจของเอกชน เป็นต้น
17. ใครชี้ให้เห็นเหตุผลของการศึกษานโยบายไว้ 3 ประการ ได้แก่ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ และเหตุผลทางการเมือง
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ง. Thomas R.Dye
18. ใครเสนอให้จำแนกนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ข. Theodore Lowi
Theodore Lowi และ Frank Frohock เสนอให้จำแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้
1. Regulative Policy
2. Distributive Policy
3. Re- Distributive Policy
4. Capitalization Policy
5. Ethical Policy
19. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อแก้ปัญหา
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ค. James Anderson
James Anderson กล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเจตนาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ความยากจน การผูกขาด เป็นต้น
20. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่า โดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคม
ก. Ira Sharkansky
ข. David Easton
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ข. David Easton
David Easton กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
21. ใครศึกษาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลในระดับท้องถิ่น
ก. กรอสและคณะ
ข. กรีนวูด และคณะ
ค. เดล อิ ริชาร์ด
ง. เบอร์แมนและเมคลัฟลิน
จ. อิมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไตน์
ตอบ ข. กรีนวูด และคณะ
กรีนวูด และคณะ ได้ทำการศึกษาเรื่อง “Federal Programs Supporting Educational Change, Vol.lll:The Process of Change” ซึ่งเป็นการศึกษาถึงโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลในระดับท้องถิ่น
22. ใครศึกษานวัตกรรมการสอนแบบใหม่ โดยเน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าสาระ
ก. Gross, Glacquinta & Bernstein
ข. Berman & McLaughlin
ค. Greenwood & McLaughlin
ง. Dale E.Richards
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. Gross, Glacquinta
Gross, Glacquinta & Bernstein ได้ทำการศึกษาเรื่อง “Implementing Organizational
Innovations : A Sociological Analysis of Planned Education Change” ซึ่งเป็นการศึกษาในด้านการใช้นวัตกรรมการสอนแบบใหม่สำหรับครู โดยให้ครูดำเนินการสอนตามความสนใจของนักเรียน และเน้นที่กระบวนการการเรียนรู้ มากกว่าเนื้อหาสาระของบทเรียน ซึ่งเรียกตัวแบบนี้ว่า “Catalytic Role Model”
23. Gross, Glacquinta & Bernstein ศึกษาเรื่องอะไร
ก. การปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
ค. การพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ง. Catalytic Role Model
จ. โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล
ตอบ Catalytic Role Model
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
24. ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบความสำเร็จ คือ
ก. วัตถุประสงค์ของนโยบายต้องชัดเจน
ข. มีส่วนร่วมของประชาชน
ค. มีทรัพยากรที่เพียงพอ
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ปัจจัยกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการนำนโยบายไปปฏิบัติ มีดังนี้
1. ลักษณะของนโยบายนั้น ๆ
2. วัตถุประสงค์ของนโยบาย
3. ความเป็นไปได้ทางการเมือง
4. ความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี
5. ความพอเพียงของทรัพยากร
6. ลักษณะของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
7. ทัศนคติของผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
8. กลไกภายในหน่วยงานหรือระหว่างหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
25. ปัจจัยที่จะทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบความล้มเหลวคือ
ก. ลักษณะของนโยบายไม่ชัดเจน
ข. มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ค. ผู้ปฏิบัติมีทัศนคติในการต่อต้านนโยบาย
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
26. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuart S.Nagel เสนอไว้ในแนวคิดในการประเมินนโยบายของเขา
ก. การกำหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
ข. การกำหนดแผนงาน
ค. การกำหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
ง. การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
จ. การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ ข. การกำหนดแผนงาน
Stuart S.Nagel ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบง่ายสำหรับการวิเคราะห์หรือ การประเมินนโยบาย ซึ่งมีกระบวนการที่สำคัญ 5 ขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด
2. กำหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กำหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย กับนโยบาย
27. ข้อใดไม่ใช่การวิจัยปะเมินผล
ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
ค. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
ง. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
จ. เป็นการวิจัยประเมินผลทุกข้อ
ตอบ ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
การวิจัยประเมินผลมีวิธีการที่สำคัญ 3 รูปแบบคือ
1. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
2. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
3. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
28. รูปแบบใดเป็นการแสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้และแม่นตรงมากที่สุด
ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
ค. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
ง. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
จ. จากการวิเคราะห์ต้นทุน – ผลประโยชน์
ตอบ ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
การวิจัยประเมินผลในรูปแบบทดลอง เป็น สองกลุ่มคือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม 2. กำหนดเป้าหมายและหลักเกณฑ์ในการชี้วัดความสำเร็จ เพื่อใช้สำหรับทดสอบก่อนที่โครงการจะถูกนำมาใช้และทดสอบหลังจากที่โครงการสิ้นสุดลง 3. เลือกกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่อยู่ในเป้าหมายของโครงการ หลังจากนั้นจึงใช้วิธีการกระจายสุ่ม ของกลุ่มตัวอย่างในการจัดพื้นที่ทดสอบและพื้นที่ควบคุม ดังนั้นการประเมินผลด้วยวิธีนี้จึงถือเป็นเครื่องมือในการแสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้ และแม่นตรงที่สุด
29. การกระจายสุ่ม (Randomization) ของกลุ่มตัวอย่างในการจัดตั้งพื้นที่ทดลองและพื้นที่ควบคุมเป็นสิ่งสำคัญในรูปแบบใด
ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
ค. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
ง. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
จ. จากการวิเคราะห์ต้นทุน – ผลประโยชน์
ตอบ ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
30. การที่หน่วยงานนำนโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนำทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดำเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ (Streel-level Bureaucracy)
5. การจัดการและการสนับสนุน
6. การติดตามและการควบคุมผลการปฏิบัติงาน